วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #5 : เกมเมอร์อาชีพนักเล่นเกมมีจริงหรอ

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #5 : เกมเมอร์อาชีพนักเล่นเกมมีจริงหรอ
-------------------------------------------------------------
ความเป็นจริงนักเล่นเกมไม่มีรายได้จากการนั่งเล่นเกมไปวันวัน
แต่นักเล่นเกมจะเอาความเป็นธุรกิจมาใช้หาเงินกับมันแทน
//////////////////////////////////////////////////////////

เปิดตอนนี้ด้วยค่านิยมที่หลายคนมักจะกล่าวหานักเล่นเกมในเมืองไทยว่า "วันวันเอาแต่เล่นเกมหรอ", "เล่นเป็นเด็กไปได้" หรือข่าวในทำนองที่ "ลอกเลียนแบบเกมปล้นรถ ขับชนคน" แต่ผมมองแยกแยะว่า ก็มีส่วนถูกทั้งสองฝ่ายเลย เพราะเหตุผลที่ว่า คนเล่นเกมส่วนใหญ่ เล่นเกมเพื่อความสนุกอย่างเดียวและเล่นเกมทั้งวันทั้งคืน แต่เกมบางเกมก็สามารถฝึกทักษะบางอย่างได้ ถ้าเล่นอย่างเหมาะสม

เกมสมัยนี้เชื่อว่า ที่จะช่วยฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหานั้นลดลง แล้วเน้นไปที่เกมที่เรียบง่ายและไม่ต้องคิดมาก ส่วนนี้ทำให้ความเป็นเกมจากแต่ก่อนนั้นผิดเพี้ยนไปจากเดิม

แต่ .... ทำนองเดียวกัน แม้ว่าเกมจะมีลักษณะใดก็ตาม ก็จะมีคนกลุ่มนึง ที่มักจะมีช่องทางรายได้เกิดขึ้นเสมอ หลายคนอาจจะรู้ช่องทางการแข่งขันสามารถทำรายได้มาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

น่าจะมีใครหลายคนยังจำคำว่า "ขาย M = 20บาท" กันได้อยู่ มันคือการนำเงินที่อยู่ในเกมแลกกับเงินจริง สำหรับผู้ที่ต้องการเงินในเกม หลายคนเริ่มลงทุนเปิดคอมพิวเตอร์ในร้านเกมเพื่อเก็บเงินในเกม เพื่อนำมาขายเป็นเงินจริง ซึ่งปรากฎการณ์นี้ก็ยังคงเกิดขึ้นจนถึงเกมปัจจุบัน

ที่ดีขึ้นมาหน่อย เมื่อมีเครดิตเป็นแชมป์เล่นเกมมาแล้ว ก็นำเอาความรู้และชื่อเสียงเขียนหนังสือหรือบทความออกมาขายไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ มีหลายคนมีรายได้จากทางนี้ไม่น้อยเหมือนกัน มีบางคนก็ชื่นชอบที่จะเป็นนักสร้างเกมจากนักเล่นเกมเช่นกัน ดังนั้นแล้วการที่เล่นเกมแล้วทำให้เกิดแรงบันดาลใจนั้นเป็นเรื่องที่ดีอยู่

สำหรับผมเองก็มีความคิดที่จะนำเกมมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนเพื่อการพัฒนาผู้เรียนครับ

ผมสรุปออกมาดังนี้ละกันครับ

- ถ้าอยากนั่งเล่นเกมแล้วยังได้เงินอาจจะลองขายของในเกมครับ
- ถ้าอยากเล่นเกมไปด้วยบริหารกิจการร้านเกมไปด้วยก็มีเหมือนกันครับ
- ถ้าเล่นเกมและนำประสบการณ์มาเขียนเป็นบทความก็สร้างรายได้ไม่น้อยครับ
- ถ้าเล่นเกมเพื่อหา Idea ในการสร้างเกม ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ควรเก็บเกี่ยวจากการเผยแพร่ข้อมูลให้เป็นด้วยก็ดีครับ

แนะนำให้แบ่งเวลาการเล่นเกมและเวลาชีวิตให้สมดุลกันครับ ผมเชื่อว่า นักเล่นเกม ก็สามารถใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการได้เช่นกันครับ

มีคลิปดีๆ แบ่งปันครับ เกี่ยวกับ นิยามของเด็กติดเกม และ การแก้ปัญหาของเด็กติดเกม

ขอบคุณ : Youtube รายการ วิตามินข่าว

อย่าให้เกมควบคุมเราครับ

แนวคิดแห่งชีวิต #6 : วิพากษ์วิจารณ์อย่างมีศิลปะ

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #6 : วิพากษ์วิจารณ์อย่างมีศิลปะ
-------------------------------------------------------------
หลายคนวิจารณ์แบบไม่ถนอมน้ำใจแล้วอ้างว่าติเพื่อก่อ
ให้ลองมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกันบ้าง
//////////////////////////////////////////////////////////

คำว่า "วิจารณ์" หลายคนคงใช้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย การวิจารณ์มักจะเป็นการตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งจะเป็นการสนับสนุน หรือคัดค้านโดยเหตุผลบางประการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่การวิจารณ์มักจะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เช่น วิจารณ์ผู้หญิงคนนั้นว่า แต่งหน้าจัดเหลือเกิน, แต่งตัวไม่เหมาะสมกาลเทศะเลย, พูดจาไม่มีหางเสียงและไม่เคารพผู้ใหญ่เลย

การวิจารณ์ที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบของเหตุผลที่ดีพอรวมทั้งหลักฐานที่ประกอบเหตุผลนั้นๆ ด้วย เช่น "วิจารณ์ว่าเธอน่าจะใส่กางเกงสีอ่อนกว่านี้นะเพราะจะได้เข้ากับผิวเธอมากกว่า" ถ้าจะเอาเหตุผลเรื่องค่านิยมของสังคมไปด้วยก็จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับการวิจารณ์นั้นด้วย

การวิจารณ์ที่ไม่มีเหตุผลประกอบ หรือไม่น่าเชื่อถือ หรือมีอคติกับผู้พูดอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้การวิจารณ์ไม่เกิดประสิทธิผลมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น มันควรมีวาทะศิลป์ในการพูดด้วยเช่นกัน

ผมสรุปการวิพากษ์วิจารณ์ออกมาตามนี้ละกันครับ

1. ปรับความคิดตัวเองครับว่าเราอยากจะแนะนำเค้าเพื่อให้เค้าได้เปลี่ยนให้ดีขึ้น ไม่ใช่การดูถูกหรือลดคุณค่าของคนอื่นแทน
2. การมีศิลปะในการพูดที่ดี คำบางคำ ก็ไม่ควรใช้ในบางสถานการณ์ เช่น "เธอตัวดำไปนะ คงไม่เหมาะหรอก" การมีศิลปะที่ดีจะช่วยให้ผู้ฟังมีความรู้สึกอยากฟังมากขึ้น แน่นอนว่า เวลาอารมณ์ไม่ดี ไม่มีใครอยากรับฟังอะไรหรอก แม้จะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม
3. หาเหตุผลประกอบในการวิพากษ์วิจารณ์ให้เหมาะสม เหตุผลในทำนองที่ว่า "ฉันคิดว่า" "ทุกคนคงคิดเหมือนกับฉัน" "ไม่มีใครบ้าทำแบบนั้นหรอก" นั่นไม่เรียกว่าเหตุผลครับ
4. เมื่อบอกกล่าวเสร็จ ไม่ควรคาดหวังว่า เค้าจะต้องเปลี่ยนไปตามที่บอก มันไม่สำคัญครับว่า คนอื่นจะเปลี่ยนหรือไม่ มันขึ้นกับว่าตัวเราเองจะเปลี่ยนไปหรือป่าว

เรื่องราวการวิพากษ์วิจารณ์นั้น มีศาสตร์นึงที่จะสามารถช่วยให้พัฒนาได้คือ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ลองหาอ่านได้ตาม Link นี้ครับ

http://www.novabizz.com/NovaAce/Intelligence/Critical_Thinking.htm

รวมทั้งอยากให้เราได้ฝึกฝนที่จะตั้งคำถามทุกครั้งครับ ว่า "ใคร" "ทำไม" "ที่ไหน" "อย่างไร" "เมื่อใด" "ยังไง"

ผมทิ้งท้ายด้วย คำของคุณบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ นะครับ

คนลงมือทำมักไม่เคยวิจารณ์
และคนวิจารณ์มักไม่เคยลงมือทำ
เอาเวลาวิจารณ์ผลงานคนอื่น
มาลงมือทำงานของตัวเอง..น่าจะดีกว่านะครับ

Ref : https://www.facebook.com/thisisboysthought/posts/376798949196710 

และคำคมจาก ว.วชิรเมธี
ขอบคุณ : Youtube

แนวคิดแห่งชีวิต #7 : โลกนี้คือห้องเรียนทั้งชีวิต

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #7 : โลกนี้คือห้องเรียนทั้งชีวิต
-------------------------------------------------------------
อาจคิดว่ามีเวลา 20 ปี สำหรับการเรียนในห้องเรียน
แต่ลองนึกดูว่ายังมีเวลาอีก 40 ปี สำหรับการเรียนในโลกใบนี้
//////////////////////////////////////////////////////////

ผมเชื่อว่าน้องๆ ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คงจะเริ่มที่จะวางแผนการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในอนาคตกันแล้วนะครับว่าอยากจะเรียนต่อสาขาไหน ด้านอะไร แล้วก็เชื่อว่ายังมีหลายคนที่อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร หรือยังตัดสินใจไม่ได้

มันมีค่านิยมในเรื่องของการเรียนต่อครับว่า "เรียน ป.ตรี พลาดก็พลาดไปทั้งชีวิต" เป็นการสนับสนุนว่าการเรียนในระดับปริญญาตรีมีความสำคัญมากและเป็นตัวกำหนดอนาคตที่เหลือได้เลย ??

ส่วนตัวผมไม่ได้เห็นด้วยกับค่านิยมนั้น เพราะว่า เหตุผลที่ใช้การตัดสินใจในสมัยมัธยม กับความพึงพอใจและความชอบเมื่อเรียนจบนั้น มันอาจจะต่างกันได้

ผมเองเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมศาสตร์เพราะคิดว่าอยากเรียนแค่คอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะออกมาทำงานอะไร สุดท้ายแล้วเรียนจบก็ไปทำงานเป็น Programmer แทน แต่เมื่อทำงานไประยะนึงผมก็พบว่า การทำงานสายนี้มันไม่ใช่ตัวตนผมสักเท่าไหร่ จนสุดท้ายก็มาทำงานในสายการศึกษาและสายจิตวิทยาแทน

เป็นเวลาเกือบ 10 ปี เลยนะครับ ที่ผมล้มลุกคลุกคลาน ลองทำหลายๆ อย่างเพื่อค้นพบตัวเองครับว่า ชอบที่จะทำงานอะไรในอนาคตกันแน่ อะไรคือสิ่งที่จะตอบโจทย์ชีวิตของเราเอง แต่สุดท้ายผมก็มีความสุขในการใช้ชีวิตแบบนี้นะครับ

น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในสายที่ไม่ได้ชอบ ก็ควรต้องตอบคำถามให้ดีก่อนครับว่า อยากจะทำงานอะไรในอนาคตกันแน่ และ อาชีพสุดท้ายในชีวิตของน้องๆ คืออะไร

ผมอยากให้ข้อคิดนะครับว่าจะมีแนวทางยังไงที่จะหางานที่ใช่จริงๆ ได้นะครับ

1. งานนั้นจะต้องมีความสุขที่ได้ทำมัน ไม่มีใครสามารถทนทำงานที่ไม่มีความสุขได้หรอกครับ อีกทั้งจะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ด้วย
2. งานนั้นจะต้องตอบโจทย์ในเรื่องการเงินได้ ผมว่าทุกคนมีความต้องการเช่น บ้าน รถ คอนโด หรือการท่องเที่ยวก็ตาม ถ้างานที่ทำอยู่ยังไม่ตอบโจทย์ ให้รีบพัฒนาตัวเองหรือหางานทำเพิ่ม เราจะได้เงินในระดับที่คู่ควรเท่านั้นครับ

ในเรื่องงานประจำหรือไม่ประจำนั้น อาจจะตอบโจทย์บางคนได้นะครับ ให้ลองพิจารณาดูครับว่า ตัวเราเองชอบที่จะทำงานในลักษณะไหนมากกว่า ส่วนตัวผมเองนั้น ผมอยากทำงานที่สามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้ครับ ไม่มีข้อจำกัดในเวลาทำงานครับ


ผมอ้างอิงมาจากหนังสือเล่มของ "งานไม่ประจำทำเงินกว่า" และ "บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด" ของคุณบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ และหนังสือ "รู้ก่อนตอนนี้ ดีกว่ารู้งี้ตอนหลัง" ของคุณทอม ธเนศ ลีลาภรณ์

//////////////////////////////////////////////////////////

เพิ่มเติม ในรูปแบบของ Blog
ปิดท้ายด้วยโฆษณาชุดนี้ครับ หลายคนน่าจะจำได้

ขอบคุณ : Youtube

แนวคิดแห่งชีวิต #8 : การส่งต่อการให้แบบไม่สิ้นสุด

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #8 : การส่งต่อการให้แบบไม่สิ้นสุด
-------------------------------------------------------------
การให้ที่แท้จริงต้องไม่มีคาดหวังสิ่งตอบแทนใดๆ
เมื่อนั้นจะเกิดการได้รับจากคนอื่นอย่างที่คาดไม่ถึง
//////////////////////////////////////////////////////////

ตอนนี้จะว่าด้วยเรื่องการให้ผมจะเริ่มต้นด้วย VDO โฆษณาตัวนี้ที่หลายคนน่าจะยังจำได้

อ้างอิง

โฆษณาตัวนี้ได้ให้นิยามไว้ว่า "การให้ คือ การสื่อสารที่ดีที่สุด"

บางครั้งไม่ต้องมีคำพูดสวยหรูว่าเราชอบช่วยเหลือผู้คน เราดียังงั้น เราดียังงี้ แต่บางครั้งการกระทำมันตอบโจทย์ได้ชัดมากกว่า ดังคำที่ว่า
"พูดให้ฟังมันดังแค่หู ทำให้ดูมันดังถึงใจ"
ผมอ้างอิงคำนี้มาจากกลุ่มธุรกิจเครือข่ายจากที่คลุกในวงการมาระดับหนึ่ง ผมไม่ได้อวยธุรกิจเครือข่ายนะครับ แต่แนวคิดนี้สามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตจริง

อย่ามัวแต่พูดหรือเขียนอะไรให้มากมายนัก ไม่ต้องรอให้รวยล้นฟ้าอะไรกันหรอก เพราะเชื่อว่าการรอให้เมื่อรวย ไม่มีทางได้ทำแน่ครับ ลงมือทำกันเลยดีกว่า (แอบด่าตัวเองเล็กๆ)

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่องนึงอยู่ คือเรื่อง Pay it Forward ชื่อภาษาไทยคือ หากใจเราพร้อมจะให้(ใจ) เราจะได้มากกว่าหนึ่ง แน่นอนว่าถ้ายังอยู่ในตอนนี้ยังต้องเกี่ยวกับการให้แน่นอน

Pay it Forward : Trailer 

ภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Trevor McKinney (นักแสดงนำ) ได้รับการบ้านโครงงานชิ้นนึงที่ต้องทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่ง Trevor ได้นำเสนอการสร้างเครือข่ายความดี โดยทำความดีให้กับผู้อื่นแบบเต็มใจ โดยไม่หวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทนกลับมา (Pay Back) แต่ Trevor เสนอให้เป็นการส่งต่อไปยังผู้อื่น 3 คนแทน หรือที่เรียกว่า Pay forward

แม้ว่า Trevor ก็ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยที่ยังไม่ได้รู้สึกว่าเกิดผลอะไรขึ้นมา จนกระทั่งไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมโรงเรียนจนตัวเองถึงแก่ชีวิต ก่อนจบก็พบว่าเครือข่ายที่ Trevor สร้างขึ้นมาได้ออกผลออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด

//////////////////////////////////////////////////////////

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมที่อยู่ในระหว่างการดำเนินในธุรกิจเครือข่ายอยู่ชะงักไประยะใหญ่ๆ ว่า "การให้" ที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่ จะว่าเป็นสาเหตุหนึ่งก็เป็นได้ที่ทำให้เริ่มรู้สึกว่า สังคมอาจจะยังไม่ใช่ สังคมแห่งการให้ที่แท้จริง

ถ้าคิดว่าทุกอย่างอยู่แค่ในภาพยนตร์ก็คิดผิดแล้ว ในหลายประเทศเริ่มมีการก่อตั้งมูลนิธิและกลุ่มสมาคมขึ้นมาอย่างมากมาย รวมทั้งการสร้างโครงงานของนักเรียนให้เป็น Pay it Forward อีกด้วย


ในไทยก็มีกระแสในช่วงนึงเหมือนกัน ในโลก Social : https://www.facebook.com/PayItForwardTH

//////////////////////////////////////////////////////////

เริ่มต้น Pay it Forward กันเหอะครับ โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นมากครับ


หมายเหตุตอนที่ 8 นี้ผมเอามาเขียนไว้ที่ Blog เพื่อให้มีลูกเล่นในบทความมากขึ้นครับ :)