วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #13 : What's your brand?

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #13 : What's your brand?
-------------------------------------------------------------
หลายคนมักจะรู้จักตัวเองว่าทำงานอะไรอยู่
แต่น้อยคนที่จะเข้าใจว่าตัวเองมีดีอะไร?
//////////////////////////////////////////////////////////


หลายคนน่าจะรู้จักคำว่า Brand กันเป็นอย่างดี แต่ผมเชื่อว่ามีน้อยคนที่จะเข้าใจคำว่า Brand ของตัวคุณเองนั่นแหละคืออะไร !!

ปัจจุบันคนเราหลายคน เช้าก็ไปทำงาน เย็นก็กลับมาพักผ่อน นอนหลับจากนั้นก็ เช้าไปทำงานต่อ เกิดวงจรที่หลายคนอาจจะยังไม่ชื่นชอบเท่าไหร่นัก บางคนก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่" คิดไปคิดมาส่วนใหญ่ก็จะยังกลับไปใช้ชีวิตรูปแบบเดิมๆ อยู่ดี

คำว่า Personal Branding ผมเชื่อว่าหลายคนรู้จักคำนี้กันดี แต่ถ้าถามใหม่ว่า Personal Branding ของตัวคุณนั้นคืออะไรแล้วคนอื่นคิดกับคุณแบบเดียวกันหรือไม่ คำนี้มันสำคัญที่ว่า คนอื่นคิดกับเราแบบเดียวกับที่เราคิดหรือป่าว ?? เช่น บอกว่าเราเป็นนักเขียนโปรแกรมมืออาชีพแน่นอน ให้ลองถามเพื่อนร่วมงานของคุณดูว่า เค้าคิดว่าเรามีอะไรโดดเด่นบ้าง แล้วเจ๋งจริงหรือไม่

มากกว่าร้อยละ 90 มักจะไม่ค่อยตรงกันหรอก เหตุผลเพราะคนอื่นไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หรือกำลังสร้างความโดดเด่นหรือเอกลักษณ์อะไรให้กับตัวเอง ทีนี้ต้องถามตัวเองกลับแล้วล่ะว่า แล้วเรามีดีอะไรบ้างในสายตาคนอื่น เราลองมาว่ากันถึงองค์ประกอบกันก่อนดีกว่า

องค์ประกอบของ Personal Branding นั้น ประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ

1. มูลค่าของตัวเอง ทั้งในเรื่องความสามารถ ความถนัด ทัศนคติ ภาพลักษณ์ หรือแรงบันดาลใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในตัวของคุณเองทั้งหมด
2. การวิเคราะห์จุดยืนของตัวเอง จะมีส่วนประกอบด้านเป้าหมายในชีวิต และระยะห่าวระหว่างตัวเรากับเป้าหมายว่ายังอยู่ห่างไกลกันแค่ โดยความรู้ ทักษะ หรือทัศนคติอะไรบ้างที่ตัวเราเองยังขาดอยู่
3. เครือข่ายคนรู้จักของตัวเอง เราเองคงมีชีวิตอยู่คนเดียวบนโลกไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักใครเลย การสร้างสายสัมพันธ์กันระหว่าง เพื่อนเก่าด้วยกัน, คนรู้จัก, คนที่ทำงานสายอาชีพเดียวกัน, คนที่ทำงานต่างสายอาชีพ, คนอายุมากกว่าหรือคนอายุน้อยกว่า ก็ตาม การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของเราส่งต่อออกไปง่ายขึ้น

ยังมีรายละเอียดอีกมากเกี่ยวกับ Personal Branding สามารถศึกษารายละเอียดจากที่ผมศึกษาได้ตาม Youtube ด้านล่างเลยครับ



หรือสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ผ่านช่องทาง Facebook Fan Page กันครับ
https://www.facebook.com/pages/Conceptual-of-life/1457206611261975

สามารถพูดคุยกับผมได้โดยตรงที่
https://www.facebook.com/rakrok12


ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่บนโลกใบนี้ และไม่มีใครเก่งเกินใคร ผมยินดีที่จะแลกเปลี่ยนแบ่งปัน ข้อมูลระหว่างกันได้ตลอดครับ :)

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #12 : ความปรารถนาที่แท้จริงของมนุษย์

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #12 : ความปรารถนาที่แท้จริงของมนุษย์
-------------------------------------------------------------
ความร่ำรวยไม่ใช่คำตอบอะไรของชีวิต
แต่คุณค่าของชีวิตต่างหากที่จะตอบชีวิตได้
//////////////////////////////////////////////////////////

ภาพต้นฉบับจาก ภาพยนตร์เรื่อง Pay it Forward(2000)

คนเราทุกคนต้องการอะไร ?? ผมเชื่อว่าหลายคนตั้งคำถามนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว บางคนก็ตอบได้ บางคนก็ตอบแล้วก็ลืมไป บางคนก็ตอบได้แบบเล่นๆ ไม่เอาจริงอะไร

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ตั้งคำถามนี้มาหลายครั้งว่า กำลังต้องการอะไร และตอนนี้มันตอบความต้องการนั้นอยู่หรือป่าว ???

สิ่งที่บางคนต้องการส่วนใหญ่ (หรือยุให้ต้องการ) มักจะมีดังนี้
1. ความร่ำรวย มีเงินกินใช้อย่าง สุรุ่ยสุร่าย 
2. ท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ตีพุงขึ้นอืดไปวันๆ ได้อย่างสบายใจ 
3. มีความสุขกับคนที่เรารักและรักเรา ตราบชั่วฟ้าดินสลาย 

ผมเชื่อว่าทุกคนตั้งคำถามกลับกับมันว่า "เราต้องการแบบนั้นมากขนาดนั้นเลยหรอ"

ผมศึกษาตัวทฤษฎีความต้องการมนุษย์ 5 ขั้นของมาสโลว์ ซึ่งเค้าบอกว่าแท้จริงแล้วมนุษย์มีความต้องการ 5 ขั้นเท่านั้นแหละ
1. ความต้องการปัจจัย4 ในการดำรงชีวิต มีอาหาร มีที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เสื้อผ้าที่ใส่แล้วไม่อายใคร
2. ความต้องการความมั่นคงในชีวิต ความมั่นคงปลอดภัยคือ ปลอดภัยว่าจะได้ความต้องการปัจจัย4 อย่างไม่ลำบาก
3. ความต้องการเป็นที่รักของคนรอบข้าง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องพูดและคุยกับผู้คนเพื่อล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราเสมอ ไม่มีใครอยู่คนเดียวในโลกนี้ได้ และต้องการความรักความอบอุ่นจากคนรอบข้าง
4. ความต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม มนุษย์เราก็ต้องการความโดดเด่นอะไรในชีวิตบ้าง ได้รับการยอมรับสิ่งที่กระทำไป หรือการยอมรับตัวเค้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
5. ความต้องการที่เป็นความปรารถนาสูงสุดของตัวเอง แต่ละคนมีความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตแตกต่างกันไป ความสุขก็เป็นหนึ่งในความปรารถนายอดฮิตด้วย

แต่การตั้งเป้าหมายในชีวิตนั้น มีหลายทฤษฎีกล่าวถึงรูปแบบที่กลับด้านจากความต้องการนั้นๆ คือ
1. ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตคืออะไร เราต้องการอะไรในชีวิตกันแน่
2. เราจะเป็นที่ยอมรับหรือรักในตัวเราจากอะไร ถ้าให้คนอื่นพูดถึงตัวเรา เค้าจะนึกถึงเราในเรื่องอะไร
3. ความมั่นคงจากที่สิ่งเราจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่แล้วจะทำอย่างไร สิ่งที่เราชอบนั้น ตอบโจทย์ความอยู่รอดของชีวิตหรือไม่ 

ลองนิยามคำว่า "ความสุข" ของคุณดูครับ แล้วจะเห็นภาพที่ชัดขึ้นเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม แนวคิด ของผมได้ที่ Fan Page ของผมครับ
https://www.facebook.com/pages/Conceptual-of-life/1457206611261975

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #11 : เครือข่ายนั้นสำคัญไฉน?

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #11 : เครือข่ายนั้นสำคัญไฉน?
-------------------------------------------------------------
หลายคนอาจนึกถึงเครือข่ายในทางที่ดีและไม่ดี
แต่ในแง่ธุรกิจเครือข่ายเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกงาน
//////////////////////////////////////////////////////////

คำว่าเครือข่าย หรือ Network หลายคนคงนึกถึง เครือข่ายมือถือ หรือ แม้แต่ธุรกิจเครือข่ายที่หลายคนขยะแขยง ตามความหมายของเครือข่าย หมายถึง การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น

ในแง่ของธุรกิจนั้นใช้ความเป็นเครือข่ายในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้า ระหว่างบริษัทกับตัวแทนจำหน่าย ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง ยิ่งมีเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ ย่อมจะสร้างโอกาสทางรายได้มากขึ้น

ในแง่ของคนทำงานประจำ การสร้างเครือข่ายทางสังคม จะเป็นการเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเองมากขึ้นด้วย ทั้งในด้านหน้าที่การงาน ด้านการขอปรึกษา ด้านการหาแหล่งทุน

ในแง่ของนักเรียน การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กันในห้องเรียนจะช่วยทำให้ช่วยเหลือการเรียนซึ่งกันและกัน เช่น บางคนถนัดรายวิชาต่างกันก็นำมาช่วยกันติวคนละวิชา เป็นต้น


แนวคิดที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายของคนนั้นคือ ความเชื่อใจและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าในแง่ธุรกิจจะเป็นการแบ่งผลประโยชน์กันอย่างเท่าเทียมกัน คำว่าเครือข่ายจะสร้างไม่ได้จริงเลย ถ้าอาศัยความเชื่อใจกัน หาผลประโยชน์เข้าตัวเองเป็นหลัก หรือ แม้แต่การแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมกันจริง

ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้รับมาจากแนวคิดของธุรกิจครือข่าย กับ แนวคิดของธุรกิจอื่นๆ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 

1. กลุ่มผู้ปฎิบัติงาน จะเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่ออกลงภาคสนามเป็นหลัก เช่น นักเขียน, นักขาย, โปรแกรมเมอร์, ติวเตอร์สอนพิเศษ, ฯลฯ กลุ่มนี้จะเน้นการสร้างรายได้ที่ยังคงต้องใช้เวลาและแรงในการทำงานเพื่อให้ได้เงินกลับมา 

2. กลุ่มผู้จัดการหรือหัวหน้าผู้ปฎิบัติงาน จะเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลและจัดการกับกลุ่มผู้ปฎิบัติงาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องทำงานแบบภาคสนามบ้างในบางครั้ง เช่น ผู้จัดการฝ่ายต่างๆ, หัวหน้าทีม, การเปิดสถาบันขนาดย่อมหรือเป็นนายหน้าติวเตอร์หรือนักเขียน, ฯลฯ กลุ่มนี้จะเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ปฏิบัติงานมีประสบการณ์การทำงานระดับหนึ่ง หรือ เริ่มที่จะมองหาทีมงานเพิ่มเติม กลุ่มนี้จะยังคงมีรายได้ที่ยังต้องใช้เวลาและแรงที่มากกว่าเดิมจากกลุ่มแรก 

3. กลุ่มผู้บริหารหรือผู้สร้างระบบงานขนาดใหญ่ จะเป็นกลุ่มที่ดูแล บริหารจัดการ คนทำงานต่างๆ ให้ทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้น หรือ แม้แต่การสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์บางอย่างเพื่อให้ทำงานได้เป็นอัตโนมัติ กลุ่มนี้อาจจะดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำงานอะไรก็ตาม แต่ยังต้องอาศัยทักษะการวิเคราะห์และการตัดสินใจอย่างเฉียบขาด 

//////////////////////////////////////////////////////////

ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในกลุ่มใดถ้าต้องการที่จะสร้างรายได้ให้มากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาเครือข่ายของตัวคุณเองขึ้นมา คำว่าเครือข่ายที่ควรจะเป็นนั้นคือการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันด้วย รวมทั้งการพัฒนาตัวเองด้านภาวะความเป็นผู้นำ และ การบริหารจัดการ 

การประสบความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม 

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บทความละเล่น #5 (ชวนเล่น) : คำนวนความเสี่ยงกับเกม

//////////////////////////////////////////////////////////
บทความละเล่น #5 (ชวนเล่น) : คำนวนความเสี่ยงกับเกม
//////////////////////////////////////////////////////////

ตอนนี้ผมมีคำถามชวนคิดกันครับ เป็นการคำนวนเกี่ยวกับ ความเสี่ยง หรือ ความน่าจะเป็น ในรายวิชาคณิตศาสตร์


ผมมีเหตุการณ์ให้เลือกว่าจะต้องเลือกชุดใดจากสองชุด ถึงจะมี ความเสี่ยง ต่ำที่สุด หรือ มีโอกาสสูงที่สุด

ชุดแรก เป็นลูกเต๋า 6 หน้าสองลูก ต้องการผลลัพธ์รวมกันเมื่อทอยตั้งแต่ 7 ขึ้นไป 
ชุดที่สอง เป็นลูกเต๋า 8 หน้าสองลูก ต้องการผลลัพธ์รวมกันเมื่อทอยตั้งแต่ 9 ขึ้นไป


ผมได้เหตุการณ์นี้มาจากเกม pathfinder adventure card game ตอนเล่นดูเผินๆ จะคิดว่าเท่ากัน ไม่ก็ ชุดที่สองจะมีโอกาสมากกว่า

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตามการเคลื่อนไหวและบทความได้ที่

Facebook Fanpage : แนวคิดชีวิต สู่การเรียนรู้
https://goo.gl/HgTViu

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บทความละเล่น #4 : CivMiner เกมจิ้มสะท้านโลกัณฑ์

//////////////////////////////////////////////////////////
บทความละเล่น #4 : CivMiner เกมจิ้มสะท้านโลกัณฑ์
//////////////////////////////////////////////////////////



วันนี้ผมกำลังเมามันกับเกมใหม่ ที่อาศัยแค่นิ้วมือของคุณกดลงไปในช่องต่างๆ เพื่อขุดเท่านั้น คือ เกม CivMiner ครับ เป็นเกมจากค่าย NAQUATIC



เกมนี้มีทรัพยากรอยู่ 4 ค่าด้วยกันครับ คือ

1. หิน (Stone) คือพื้นที่ทั่วๆไป เอาไว้ใช้ในการสร้างรูปปั้นเพื่อเพิ่มพลังในการขุดนั่นเอง (1 ตัวจะได้ 1%)
2. อัญมณี หรือ ในเกมใช้ Ruby เอาไว้ใช้ในการพัฒนาเครื่องมือสำหรับการขุดนั่นเอง
3. น้ำมัน (Oil) จะสามารถพบได้โอกาสน้อยสำหรับการขุด หรือ ขโมยจากกลุ่มอื่น จะเอาไว้ใช้ในการจัดอันดับของกลุ่ม
4. Fossil จะได้มาจากการปราบศัตรูก่อนผ่านด่าน จะเอาไว้ใช้ในการจัดอันดับของกลุ่ม

เกมนี้อาศัย Theme ที่เหมือน Minecraft เล่นเพลินๆ ฆ่าเวลาได้อย่างดี (ฮา)

ใครอยากฆ่าเวลา บริหารนิ้วมือกัน ก็มา ละเล่น กันได้ครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตามการเคลื่อนไหวและบทความได้ที่

Facebook Fanpage : แนวคิดชีวิต สู่การเรียนรู้
https://goo.gl/HgTViu

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #10 : โลกแห่งการจูงใจของ CLICK-BAIT

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #10 : โลกแห่งการจูงใจของ CLICK-BAIT
-------------------------------------------------------------
ถ้ามองในแง่ของธุรกิจก็ถือเป็นผลกำไรของการดำเนินธุรกิจ
แต่ในความเป็นธุรกิจก็ต้องมีความพึงพอใจของลูกค้าด้วยเช่นกัน
//////////////////////////////////////////////////////////

ตอนนี้ UPDATE ข่าวคราวของโลก Social Media เช่นเคยในเรื่องของคำว่า "Click-Bait" หลายคนอาจจะเห็นเหตุการณ์ที่การคลิ๊กข่าวต่างๆ ที่แฝงไปด้วยลิ้งค์ที่ซ่อนอยู่บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นรูป


หลายคน (รวมทั้งผมเอง) ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะครับว่าจะอยากรู้อะไรเกี่ยวกับข่าวนี้หรือป่าว สำหรับผมแล้วบางข่าวถ้าไม่น่าสนใจจริงๆ ยังไงก็ไม่มีทางกดแน่นอน แต่เมื่อกดไปแล้วส่วนมากจะคาดหวังว่าจะมีข้อมูลอะไรที่ดีบ้าง บางส่วนมีเนื้อหาที่บัดซบจริงๆ นั่นแหละ  ความรู้สึกของ Click-Bait อาจจะเหมือนมีเหยื่อล่อมาให้ติดกับ หลอกล่อให้กดไลท์ ตามรูปนี้

อ้างอิง : Mashable

ในประเด็นนี้ผมมองว่าถ้าเนื้อหาใช้ได้แม้ว่าจะต้องกดเข้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่

สิ่งที่มองต่อมาคือเรื่องของ LINK ที่ส่งต่อไปเนี่ยสิ อย่างเช่นพวก Adf หรือ Bit






พวกนี้จะมีระบบในการโฆษณาอยู่ 5 วินาที ผู้สร้างจะได้ค่าโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 4,000 ครั้งต่อ 1$ (น่าจะอย่างมาก) ถ้าบอกว่าจะเป็นการหารายได้เสริมสำหรับผู้แชร์อะไรบางอย่างผ่านโลกออนไลน์ หารายได้จากค่าโฆษณา

โดยส่วนตัวถ้าไม่ใช่การทำซ้อนกัน 2 อัน ผมว่าเฉยๆ แต่บางคนก็น่าเกลียดมากทำซ้อนๆ กันหลายอัน อันนี้ก็ไม่สมควรให้อภัยเท่าไหร่

ทีนี้ก็มีคนส่วนนึงมีความคิดว่าจะแก้เผ็ดข่าวหรือลิ้งค์พวกนี้ โดยเอาเวปปลายทางโดยตรงแทนเลย แล้วเอามาโพสลงในเพจแทน ซึ่งเพจนั้นคือ #จบข่าว โดยมีสโลแกนที่ว่า "เรื่องมันมีแค่นี้ อยากรู้แต่ไม่อยากคลิก มาหาเราสิครับ" เหมือนจะง่ายๆ แต่กลับเพิ่มยอดไลท์ได้ถล่มทลาย


ลองมาวิเคราะห์ตามหลักของการตลาดแล้ว ก็มีประเด็นน่าสนใจว่า เค้าได้เอาจุดที่หลายคนติดเหมือนกันหรือคิดเหมือนกัน มาแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดหรือตรงใจใครหลายคนอย่างมาก !! ผมเองยังไม่ได้คิดถึงเลยว่าเรื่องแบบนี้ก็สามารถทำการตลาดได้ง่ายๆ เลย แต่แน่นอนครับว่า คนที่มองเห็นโอกาสที่คนอื่นส่วนใหญ่มองไม่เห็นนับว่าเป็นโอกาสที่แท้จริง 

ทีนี้ทาง Facebook เองก็พยายามคัดกรองพวก Click-Bait นี้เช่นกันโดยมีรายละเอียดดังนี้

1. Facebook จะคอยดูว่า คนที่กดเข้า link ไปแล้ว อยู่กับ link นั้นนานแค่ไหน ซึ่งอาจจะเป็นบทความ, วิดีโอ, หรือ content อะไรก็ได้ ที่ link นั้นพาไป ซึ่งถ้าคนกด link เข้าไป แล้วกลับมาที่ Facebook เกือบจะทันที Facebook จะเข้าใจว่า link นั้นไม่ได้มี Content ที่ดึงดูดคนอยู่จริงๆ มีสิทธิ์กลายเป็นโพส Click-Baiting
2. Facebook จะคอยดูสัดส่วนระหว่างไลค์ และคอมเม้นกับจำนวนการคลิก link ว่าเหมาะสมไหม ถ้าไม่ อาจพิจารณาเป็นโพส Click-Baiting
อ้างอิง : Sochiie

//////////////////////////////////////////////////////////

ผมในฐานะของผู้นำเสนอผลงานบทความเหมือนกันก็รู้สึกนะว่า บทความที่เผยแพร่ออกไปนั้นจะทำยังไงให้ออกมาดี มีข้อมูลมาก ไม่ทำให้เกิดกรณี Click-Bait ผมสรุปกระบวนการคร่าวๆ ไว้สำหรับคนที่อยากสร้างอะไรบางอย่างแต่กลัวกรณี Click-Bait 

1. สร้างเนื้อหาที่เสริมหรือเพิ่มเติมจากการแปะลิ้งค์หรือวิดีโอ การแปะวิดีโอที่เป็นของคนอื่นอย่างเดียวอาจจะมองว่าเป็น Click-Bait ได้ (คือเอาลิ้งค์มาแปะ โฆษณาคั่นก็หากำไรได้แล้ว ??) 

2. สาระของเนื้อหานั้นควรจะต้องมีความแตกต่างหรือมีเอกลักษณ์ การมีสาระสำคัญหรือโดนใจผู้บริโภคสื่อมากกว่าก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี 

3. การแปะโฆษณาคั่นไว้ควรทำเพียงอันเดียวและต้องมี 2 ข้อแรกที่ผ่านแล้วเท่านั้น การแปะโฆษณาเลยโดยที่ยังไม่มีเนื้อหาสาระอะไรจะยิ่งทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจแน่นอน 

ทีนี้ในมุมมองของผู้บริโภคสื่อ ผมมองว่า การให้มีโฆษณาหรือการกดถูกใจเรียกให้กดไลท์นั้น ถ้าไม่เป็นการล่อลวงให้กดจริงๆ ผมว่าก็สามารถทำได้ และผมก็ไม่รังเกียจที่จะรอโฆษณา 5 วินาทีแต่อย่างใด ยังไงซะ คนที่อยากจะหารายได้อีกทางนึง ก็จะได้เกิดรายได้ขึ้นจริงจากที่เค้าตั้งใจไว้ จะไม่ให้เลยผมว่าจะเอาเปรียบกันเกินไปหน่อย 

ผมให้กำลังใจกับคนที่ดำเนินบางอย่างเพื่อประโยชน์กับคนอื่น ซึ่งอาจจะมีเรื่องการโฆษณาบ้างแต่ถ้าทั้ง 3 ข้อยังผ่าน ผมก็ยอมรับได้อยู่ ผมมีคำสอนจากท่าน ว.วชิรเมธี ให้ครับ 

ขอบคุณ : Youtube

"อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา"

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #9 : เราวัดความสามารถของตัวเองแล้วหรือยัง

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #9 : เราวัดความสามารถของตัวเองแล้วหรือยัง
-------------------------------------------------------------
เรียนต่อมหาวิทยาลัยชื่อดังอาจจะได้เริ่มทำงานดีเงินเดือนสูง
แต่สุดท้ายแล้วคนที่อยู่รอดคือคนที่มีศักยภาพ
//////////////////////////////////////////////////////////

จากข่าวคราวเรื่องการแชร์ของธนาคารแห่งหนึ่งที่มีประกาศว่ารับสมัครพนักงานเฉพาะมหาวิทยาลัย 14 แห่งเท่านั้น

ภาพจาก : ข่าวสด

แน่นอนว่าความดราม่าย่อมเกิดขึ้นมาทุกหย่อมหญ้ากันเลยทีเดียว แต่ผมเองคงไม่มานั่ง Discuss กันหรอกครับว่า ตกลงแล้วมหาวิทยาลัยอื่นคุณภาพแย่กว่าหรือไม่อย่างไร จะเหมารวม หรือจะมองกันรายบุคคลกันแน่

แต่ผมจะเชิญชวนให้ขบคิดกันกับคำว่า "ศักยภาพ" หรือ "คุณภาพ" นั่นจะต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

คำว่า ศักยภาพ หมายถึง ความสามารถสูงสุดที่เป็นไปได้ของบุคคลนั้นถ้าหากบุคคลนั้นได้รับการบำรุงส่งเสริมอย่างเต็มที่และถูกทางทั้งทางกายและทางจิต

ทีนี้ถ้าคนเราเชื่อว่า "ศักยภาพ" ของแต่ละคนนั้นมีขีดจำกัดจริงๆ ซึ่งไม่รู้ว่าขีดจำกัดจะอยู่ตรงไหนกันแน่ ผมอาจจะไม่มามัวกังวลหรอกครับว่า ศักยภาพ จะอยู่ที่ขั้นไหน แต่ผมจะมาใส่ใจกับคำว่า ความสามารถ มากกว่า

ถ้าแปลกันตรงตัว ความสามารถจะเป็น การดำเนินการที่บุคคลนั้นทำออกมาได้ดี เช่น มีความสามารถทางด้านฟุตบอล, มีความสามารถทางด้านการคำนวนในใจ

แต่แน่นอนครับว่า ศักยภาพ และ ความสามารถ ของแต่ละสาขาก็แตกต่างกันไปตามอาชีพนั้นๆ ผมอยากให้ลองคิดกันครับว่า เราได้เริ่มลงมือพัฒนาความสามารถให้เต็มศักยภาพได้หรือยัง ผมเสนอขั้นตอนออกมาดังนี้

1. ศักยภาพของสาขาอาชีพนั้นมีความสามารถหรือทักษะอะไรบ้าง ถ้าจะให้เทียบกันง่ายๆ ก็ลองไปดูหัวหน้าหรือผู้จัดการในสาขานั้นๆ ครับว่าตัวเค้าเองมีความสามารถหรือทักษะอะไรที่จำเป็นบ้าง
2. ความสามารถหรือทักษะของเรานั้นอยู่ในระดับไหนแล้ว อาจจะลองให้คะแนนความสามารถหรือทักษะของตัวเองดูครับว่าถ้าเต็ม 10 เราจะมีคะแนนอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่
3. พัฒนาความสามารถหรือทักษะให้เต็มศักยภาพ เริ่มต้นวางแผนการพัฒนาความสามารถและทักษะกันเลยครับ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ได้จะดีมาก เช่น ถ้าภาษาไม่ดี และ ในสาขานั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ความสามารถและทักษะด้านภาษาอย่างมาก ก็ควรต้องเร่งพัฒนาให้ได้

สุดท้ายผมให้ข้อคิดจาก ท่าน ว.วชิรเมธี เกี่ยวกับเคล็ดลับของความสำเร็จ
ลงมือทำครับ

ผมฝากให้คนที่ยังเรียนอยู่กับ นิทานธรรมของ ท่าน ว.วชิรเมธี

หลักสูตรการเรียนเก่ง 
1. อ่านและฟังให้มาก
2. เลือกส่วนสาระสำคัญ
3. ท่องและทบทวนให้คล่อง (บางอย่างต้องใช้ความคล่อง)
4. วิเคราะห์และสร้างภาพให้ดีเพื่อสามารถอธิบายได้ชัดเจน
5. นำความรู้นั้นไปใช้สม่ำเสมอ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แนวคิดแห่งชีวิต #5 : เกมเมอร์อาชีพนักเล่นเกมมีจริงหรอ

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #5 : เกมเมอร์อาชีพนักเล่นเกมมีจริงหรอ
-------------------------------------------------------------
ความเป็นจริงนักเล่นเกมไม่มีรายได้จากการนั่งเล่นเกมไปวันวัน
แต่นักเล่นเกมจะเอาความเป็นธุรกิจมาใช้หาเงินกับมันแทน
//////////////////////////////////////////////////////////

เปิดตอนนี้ด้วยค่านิยมที่หลายคนมักจะกล่าวหานักเล่นเกมในเมืองไทยว่า "วันวันเอาแต่เล่นเกมหรอ", "เล่นเป็นเด็กไปได้" หรือข่าวในทำนองที่ "ลอกเลียนแบบเกมปล้นรถ ขับชนคน" แต่ผมมองแยกแยะว่า ก็มีส่วนถูกทั้งสองฝ่ายเลย เพราะเหตุผลที่ว่า คนเล่นเกมส่วนใหญ่ เล่นเกมเพื่อความสนุกอย่างเดียวและเล่นเกมทั้งวันทั้งคืน แต่เกมบางเกมก็สามารถฝึกทักษะบางอย่างได้ ถ้าเล่นอย่างเหมาะสม

เกมสมัยนี้เชื่อว่า ที่จะช่วยฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหานั้นลดลง แล้วเน้นไปที่เกมที่เรียบง่ายและไม่ต้องคิดมาก ส่วนนี้ทำให้ความเป็นเกมจากแต่ก่อนนั้นผิดเพี้ยนไปจากเดิม

แต่ .... ทำนองเดียวกัน แม้ว่าเกมจะมีลักษณะใดก็ตาม ก็จะมีคนกลุ่มนึง ที่มักจะมีช่องทางรายได้เกิดขึ้นเสมอ หลายคนอาจจะรู้ช่องทางการแข่งขันสามารถทำรายได้มาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

น่าจะมีใครหลายคนยังจำคำว่า "ขาย M = 20บาท" กันได้อยู่ มันคือการนำเงินที่อยู่ในเกมแลกกับเงินจริง สำหรับผู้ที่ต้องการเงินในเกม หลายคนเริ่มลงทุนเปิดคอมพิวเตอร์ในร้านเกมเพื่อเก็บเงินในเกม เพื่อนำมาขายเป็นเงินจริง ซึ่งปรากฎการณ์นี้ก็ยังคงเกิดขึ้นจนถึงเกมปัจจุบัน

ที่ดีขึ้นมาหน่อย เมื่อมีเครดิตเป็นแชมป์เล่นเกมมาแล้ว ก็นำเอาความรู้และชื่อเสียงเขียนหนังสือหรือบทความออกมาขายไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ มีหลายคนมีรายได้จากทางนี้ไม่น้อยเหมือนกัน มีบางคนก็ชื่นชอบที่จะเป็นนักสร้างเกมจากนักเล่นเกมเช่นกัน ดังนั้นแล้วการที่เล่นเกมแล้วทำให้เกิดแรงบันดาลใจนั้นเป็นเรื่องที่ดีอยู่

สำหรับผมเองก็มีความคิดที่จะนำเกมมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนเพื่อการพัฒนาผู้เรียนครับ

ผมสรุปออกมาดังนี้ละกันครับ

- ถ้าอยากนั่งเล่นเกมแล้วยังได้เงินอาจจะลองขายของในเกมครับ
- ถ้าอยากเล่นเกมไปด้วยบริหารกิจการร้านเกมไปด้วยก็มีเหมือนกันครับ
- ถ้าเล่นเกมและนำประสบการณ์มาเขียนเป็นบทความก็สร้างรายได้ไม่น้อยครับ
- ถ้าเล่นเกมเพื่อหา Idea ในการสร้างเกม ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ควรเก็บเกี่ยวจากการเผยแพร่ข้อมูลให้เป็นด้วยก็ดีครับ

แนะนำให้แบ่งเวลาการเล่นเกมและเวลาชีวิตให้สมดุลกันครับ ผมเชื่อว่า นักเล่นเกม ก็สามารถใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการได้เช่นกันครับ

มีคลิปดีๆ แบ่งปันครับ เกี่ยวกับ นิยามของเด็กติดเกม และ การแก้ปัญหาของเด็กติดเกม

ขอบคุณ : Youtube รายการ วิตามินข่าว

อย่าให้เกมควบคุมเราครับ

แนวคิดแห่งชีวิต #6 : วิพากษ์วิจารณ์อย่างมีศิลปะ

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #6 : วิพากษ์วิจารณ์อย่างมีศิลปะ
-------------------------------------------------------------
หลายคนวิจารณ์แบบไม่ถนอมน้ำใจแล้วอ้างว่าติเพื่อก่อ
ให้ลองมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกันบ้าง
//////////////////////////////////////////////////////////

คำว่า "วิจารณ์" หลายคนคงใช้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย การวิจารณ์มักจะเป็นการตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งจะเป็นการสนับสนุน หรือคัดค้านโดยเหตุผลบางประการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่การวิจารณ์มักจะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เช่น วิจารณ์ผู้หญิงคนนั้นว่า แต่งหน้าจัดเหลือเกิน, แต่งตัวไม่เหมาะสมกาลเทศะเลย, พูดจาไม่มีหางเสียงและไม่เคารพผู้ใหญ่เลย

การวิจารณ์ที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบของเหตุผลที่ดีพอรวมทั้งหลักฐานที่ประกอบเหตุผลนั้นๆ ด้วย เช่น "วิจารณ์ว่าเธอน่าจะใส่กางเกงสีอ่อนกว่านี้นะเพราะจะได้เข้ากับผิวเธอมากกว่า" ถ้าจะเอาเหตุผลเรื่องค่านิยมของสังคมไปด้วยก็จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับการวิจารณ์นั้นด้วย

การวิจารณ์ที่ไม่มีเหตุผลประกอบ หรือไม่น่าเชื่อถือ หรือมีอคติกับผู้พูดอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้การวิจารณ์ไม่เกิดประสิทธิผลมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น มันควรมีวาทะศิลป์ในการพูดด้วยเช่นกัน

ผมสรุปการวิพากษ์วิจารณ์ออกมาตามนี้ละกันครับ

1. ปรับความคิดตัวเองครับว่าเราอยากจะแนะนำเค้าเพื่อให้เค้าได้เปลี่ยนให้ดีขึ้น ไม่ใช่การดูถูกหรือลดคุณค่าของคนอื่นแทน
2. การมีศิลปะในการพูดที่ดี คำบางคำ ก็ไม่ควรใช้ในบางสถานการณ์ เช่น "เธอตัวดำไปนะ คงไม่เหมาะหรอก" การมีศิลปะที่ดีจะช่วยให้ผู้ฟังมีความรู้สึกอยากฟังมากขึ้น แน่นอนว่า เวลาอารมณ์ไม่ดี ไม่มีใครอยากรับฟังอะไรหรอก แม้จะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม
3. หาเหตุผลประกอบในการวิพากษ์วิจารณ์ให้เหมาะสม เหตุผลในทำนองที่ว่า "ฉันคิดว่า" "ทุกคนคงคิดเหมือนกับฉัน" "ไม่มีใครบ้าทำแบบนั้นหรอก" นั่นไม่เรียกว่าเหตุผลครับ
4. เมื่อบอกกล่าวเสร็จ ไม่ควรคาดหวังว่า เค้าจะต้องเปลี่ยนไปตามที่บอก มันไม่สำคัญครับว่า คนอื่นจะเปลี่ยนหรือไม่ มันขึ้นกับว่าตัวเราเองจะเปลี่ยนไปหรือป่าว

เรื่องราวการวิพากษ์วิจารณ์นั้น มีศาสตร์นึงที่จะสามารถช่วยให้พัฒนาได้คือ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ลองหาอ่านได้ตาม Link นี้ครับ

http://www.novabizz.com/NovaAce/Intelligence/Critical_Thinking.htm

รวมทั้งอยากให้เราได้ฝึกฝนที่จะตั้งคำถามทุกครั้งครับ ว่า "ใคร" "ทำไม" "ที่ไหน" "อย่างไร" "เมื่อใด" "ยังไง"

ผมทิ้งท้ายด้วย คำของคุณบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ นะครับ

คนลงมือทำมักไม่เคยวิจารณ์
และคนวิจารณ์มักไม่เคยลงมือทำ
เอาเวลาวิจารณ์ผลงานคนอื่น
มาลงมือทำงานของตัวเอง..น่าจะดีกว่านะครับ

Ref : https://www.facebook.com/thisisboysthought/posts/376798949196710 

และคำคมจาก ว.วชิรเมธี
ขอบคุณ : Youtube

แนวคิดแห่งชีวิต #7 : โลกนี้คือห้องเรียนทั้งชีวิต

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #7 : โลกนี้คือห้องเรียนทั้งชีวิต
-------------------------------------------------------------
อาจคิดว่ามีเวลา 20 ปี สำหรับการเรียนในห้องเรียน
แต่ลองนึกดูว่ายังมีเวลาอีก 40 ปี สำหรับการเรียนในโลกใบนี้
//////////////////////////////////////////////////////////

ผมเชื่อว่าน้องๆ ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คงจะเริ่มที่จะวางแผนการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในอนาคตกันแล้วนะครับว่าอยากจะเรียนต่อสาขาไหน ด้านอะไร แล้วก็เชื่อว่ายังมีหลายคนที่อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร หรือยังตัดสินใจไม่ได้

มันมีค่านิยมในเรื่องของการเรียนต่อครับว่า "เรียน ป.ตรี พลาดก็พลาดไปทั้งชีวิต" เป็นการสนับสนุนว่าการเรียนในระดับปริญญาตรีมีความสำคัญมากและเป็นตัวกำหนดอนาคตที่เหลือได้เลย ??

ส่วนตัวผมไม่ได้เห็นด้วยกับค่านิยมนั้น เพราะว่า เหตุผลที่ใช้การตัดสินใจในสมัยมัธยม กับความพึงพอใจและความชอบเมื่อเรียนจบนั้น มันอาจจะต่างกันได้

ผมเองเลือกเรียนในสาขาวิศวกรรมศาสตร์เพราะคิดว่าอยากเรียนแค่คอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะออกมาทำงานอะไร สุดท้ายแล้วเรียนจบก็ไปทำงานเป็น Programmer แทน แต่เมื่อทำงานไประยะนึงผมก็พบว่า การทำงานสายนี้มันไม่ใช่ตัวตนผมสักเท่าไหร่ จนสุดท้ายก็มาทำงานในสายการศึกษาและสายจิตวิทยาแทน

เป็นเวลาเกือบ 10 ปี เลยนะครับ ที่ผมล้มลุกคลุกคลาน ลองทำหลายๆ อย่างเพื่อค้นพบตัวเองครับว่า ชอบที่จะทำงานอะไรในอนาคตกันแน่ อะไรคือสิ่งที่จะตอบโจทย์ชีวิตของเราเอง แต่สุดท้ายผมก็มีความสุขในการใช้ชีวิตแบบนี้นะครับ

น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในสายที่ไม่ได้ชอบ ก็ควรต้องตอบคำถามให้ดีก่อนครับว่า อยากจะทำงานอะไรในอนาคตกันแน่ และ อาชีพสุดท้ายในชีวิตของน้องๆ คืออะไร

ผมอยากให้ข้อคิดนะครับว่าจะมีแนวทางยังไงที่จะหางานที่ใช่จริงๆ ได้นะครับ

1. งานนั้นจะต้องมีความสุขที่ได้ทำมัน ไม่มีใครสามารถทนทำงานที่ไม่มีความสุขได้หรอกครับ อีกทั้งจะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ด้วย
2. งานนั้นจะต้องตอบโจทย์ในเรื่องการเงินได้ ผมว่าทุกคนมีความต้องการเช่น บ้าน รถ คอนโด หรือการท่องเที่ยวก็ตาม ถ้างานที่ทำอยู่ยังไม่ตอบโจทย์ ให้รีบพัฒนาตัวเองหรือหางานทำเพิ่ม เราจะได้เงินในระดับที่คู่ควรเท่านั้นครับ

ในเรื่องงานประจำหรือไม่ประจำนั้น อาจจะตอบโจทย์บางคนได้นะครับ ให้ลองพิจารณาดูครับว่า ตัวเราเองชอบที่จะทำงานในลักษณะไหนมากกว่า ส่วนตัวผมเองนั้น ผมอยากทำงานที่สามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้ครับ ไม่มีข้อจำกัดในเวลาทำงานครับ


ผมอ้างอิงมาจากหนังสือเล่มของ "งานไม่ประจำทำเงินกว่า" และ "บนท้องฟ้ารถไม่เคยติด" ของคุณบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ และหนังสือ "รู้ก่อนตอนนี้ ดีกว่ารู้งี้ตอนหลัง" ของคุณทอม ธเนศ ลีลาภรณ์

//////////////////////////////////////////////////////////

เพิ่มเติม ในรูปแบบของ Blog
ปิดท้ายด้วยโฆษณาชุดนี้ครับ หลายคนน่าจะจำได้

ขอบคุณ : Youtube

แนวคิดแห่งชีวิต #8 : การส่งต่อการให้แบบไม่สิ้นสุด

//////////////////////////////////////////////////////////
แนวคิดแห่งชีวิต #8 : การส่งต่อการให้แบบไม่สิ้นสุด
-------------------------------------------------------------
การให้ที่แท้จริงต้องไม่มีคาดหวังสิ่งตอบแทนใดๆ
เมื่อนั้นจะเกิดการได้รับจากคนอื่นอย่างที่คาดไม่ถึง
//////////////////////////////////////////////////////////

ตอนนี้จะว่าด้วยเรื่องการให้ผมจะเริ่มต้นด้วย VDO โฆษณาตัวนี้ที่หลายคนน่าจะยังจำได้

อ้างอิง

โฆษณาตัวนี้ได้ให้นิยามไว้ว่า "การให้ คือ การสื่อสารที่ดีที่สุด"

บางครั้งไม่ต้องมีคำพูดสวยหรูว่าเราชอบช่วยเหลือผู้คน เราดียังงั้น เราดียังงี้ แต่บางครั้งการกระทำมันตอบโจทย์ได้ชัดมากกว่า ดังคำที่ว่า
"พูดให้ฟังมันดังแค่หู ทำให้ดูมันดังถึงใจ"
ผมอ้างอิงคำนี้มาจากกลุ่มธุรกิจเครือข่ายจากที่คลุกในวงการมาระดับหนึ่ง ผมไม่ได้อวยธุรกิจเครือข่ายนะครับ แต่แนวคิดนี้สามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตจริง

อย่ามัวแต่พูดหรือเขียนอะไรให้มากมายนัก ไม่ต้องรอให้รวยล้นฟ้าอะไรกันหรอก เพราะเชื่อว่าการรอให้เมื่อรวย ไม่มีทางได้ทำแน่ครับ ลงมือทำกันเลยดีกว่า (แอบด่าตัวเองเล็กๆ)

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่องนึงอยู่ คือเรื่อง Pay it Forward ชื่อภาษาไทยคือ หากใจเราพร้อมจะให้(ใจ) เราจะได้มากกว่าหนึ่ง แน่นอนว่าถ้ายังอยู่ในตอนนี้ยังต้องเกี่ยวกับการให้แน่นอน

Pay it Forward : Trailer 

ภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Trevor McKinney (นักแสดงนำ) ได้รับการบ้านโครงงานชิ้นนึงที่ต้องทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่ง Trevor ได้นำเสนอการสร้างเครือข่ายความดี โดยทำความดีให้กับผู้อื่นแบบเต็มใจ โดยไม่หวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทนกลับมา (Pay Back) แต่ Trevor เสนอให้เป็นการส่งต่อไปยังผู้อื่น 3 คนแทน หรือที่เรียกว่า Pay forward

แม้ว่า Trevor ก็ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยที่ยังไม่ได้รู้สึกว่าเกิดผลอะไรขึ้นมา จนกระทั่งไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมโรงเรียนจนตัวเองถึงแก่ชีวิต ก่อนจบก็พบว่าเครือข่ายที่ Trevor สร้างขึ้นมาได้ออกผลออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด

//////////////////////////////////////////////////////////

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมที่อยู่ในระหว่างการดำเนินในธุรกิจเครือข่ายอยู่ชะงักไประยะใหญ่ๆ ว่า "การให้" ที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่ จะว่าเป็นสาเหตุหนึ่งก็เป็นได้ที่ทำให้เริ่มรู้สึกว่า สังคมอาจจะยังไม่ใช่ สังคมแห่งการให้ที่แท้จริง

ถ้าคิดว่าทุกอย่างอยู่แค่ในภาพยนตร์ก็คิดผิดแล้ว ในหลายประเทศเริ่มมีการก่อตั้งมูลนิธิและกลุ่มสมาคมขึ้นมาอย่างมากมาย รวมทั้งการสร้างโครงงานของนักเรียนให้เป็น Pay it Forward อีกด้วย


ในไทยก็มีกระแสในช่วงนึงเหมือนกัน ในโลก Social : https://www.facebook.com/PayItForwardTH

//////////////////////////////////////////////////////////

เริ่มต้น Pay it Forward กันเหอะครับ โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นมากครับ


หมายเหตุตอนที่ 8 นี้ผมเอามาเขียนไว้ที่ Blog เพื่อให้มีลูกเล่นในบทความมากขึ้นครับ :)