แนวคิดแห่งชีวิต #10 : โลกแห่งการจูงใจของ CLICK-BAIT
-------------------------------------------------------------
ถ้ามองในแง่ของธุรกิจก็ถือเป็นผลกำไรของการดำเนินธุรกิจ
แต่ในความเป็นธุรกิจก็ต้องมีความพึงพอใจของลูกค้าด้วยเช่นกัน
//////////////////////////////////////////////////////////
ตอนนี้ UPDATE ข่าวคราวของโลก Social Media เช่นเคยในเรื่องของคำว่า "Click-Bait" หลายคนอาจจะเห็นเหตุการณ์ที่การคลิ๊กข่าวต่างๆ ที่แฝงไปด้วยลิ้งค์ที่ซ่อนอยู่บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นรูป
หลายคน (รวมทั้งผมเอง) ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะครับว่าจะอยากรู้อะไรเกี่ยวกับข่าวนี้หรือป่าว สำหรับผมแล้วบางข่าวถ้าไม่น่าสนใจจริงๆ ยังไงก็ไม่มีทางกดแน่นอน แต่เมื่อกดไปแล้วส่วนมากจะคาดหวังว่าจะมีข้อมูลอะไรที่ดีบ้าง บางส่วนมีเนื้อหาที่บัดซบจริงๆ นั่นแหละ ความรู้สึกของ Click-Bait อาจจะเหมือนมีเหยื่อล่อมาให้ติดกับ หลอกล่อให้กดไลท์ ตามรูปนี้
อ้างอิง : Mashable
ในประเด็นนี้ผมมองว่าถ้าเนื้อหาใช้ได้แม้ว่าจะต้องกดเข้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่
สิ่งที่มองต่อมาคือเรื่องของ LINK ที่ส่งต่อไปเนี่ยสิ อย่างเช่นพวก Adf หรือ Bit


พวกนี้จะมีระบบในการโฆษณาอยู่ 5 วินาที ผู้สร้างจะได้ค่าโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 4,000 ครั้งต่อ 1$ (น่าจะอย่างมาก) ถ้าบอกว่าจะเป็นการหารายได้เสริมสำหรับผู้แชร์อะไรบางอย่างผ่านโลกออนไลน์ หารายได้จากค่าโฆษณา
โดยส่วนตัวถ้าไม่ใช่การทำซ้อนกัน 2 อัน ผมว่าเฉยๆ แต่บางคนก็น่าเกลียดมากทำซ้อนๆ กันหลายอัน อันนี้ก็ไม่สมควรให้อภัยเท่าไหร่
ทีนี้ก็มีคนส่วนนึงมีความคิดว่าจะแก้เผ็ดข่าวหรือลิ้งค์พวกนี้ โดยเอาเวปปลายทางโดยตรงแทนเลย แล้วเอามาโพสลงในเพจแทน ซึ่งเพจนั้นคือ #จบข่าว โดยมีสโลแกนที่ว่า "เรื่องมันมีแค่นี้ อยากรู้แต่ไม่อยากคลิก มาหาเราสิครับ" เหมือนจะง่ายๆ แต่กลับเพิ่มยอดไลท์ได้ถล่มทลาย
ลองมาวิเคราะห์ตามหลักของการตลาดแล้ว ก็มีประเด็นน่าสนใจว่า เค้าได้เอาจุดที่หลายคนติดเหมือนกันหรือคิดเหมือนกัน มาแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดหรือตรงใจใครหลายคนอย่างมาก !! ผมเองยังไม่ได้คิดถึงเลยว่าเรื่องแบบนี้ก็สามารถทำการตลาดได้ง่ายๆ เลย แต่แน่นอนครับว่า คนที่มองเห็นโอกาสที่คนอื่นส่วนใหญ่มองไม่เห็นนับว่าเป็นโอกาสที่แท้จริง
ทีนี้ทาง Facebook เองก็พยายามคัดกรองพวก Click-Bait นี้เช่นกันโดยมีรายละเอียดดังนี้
1. Facebook จะคอยดูว่า คนที่กดเข้า link ไปแล้ว อยู่กับ link นั้นนานแค่ไหน ซึ่งอาจจะเป็นบทความ, วิดีโอ, หรือ content อะไรก็ได้ ที่ link นั้นพาไป ซึ่งถ้าคนกด link เข้าไป แล้วกลับมาที่ Facebook เกือบจะทันที Facebook จะเข้าใจว่า link นั้นไม่ได้มี Content ที่ดึงดูดคนอยู่จริงๆ มีสิทธิ์กลายเป็นโพส Click-Baiting
2. Facebook จะคอยดูสัดส่วนระหว่างไลค์ และคอมเม้นกับจำนวนการคลิก link ว่าเหมาะสมไหม ถ้าไม่ อาจพิจารณาเป็นโพส Click-Baiting
อ้างอิง : Sochiie
ผมในฐานะของผู้นำเสนอผลงานบทความเหมือนกันก็รู้สึกนะว่า บทความที่เผยแพร่ออกไปนั้นจะทำยังไงให้ออกมาดี มีข้อมูลมาก ไม่ทำให้เกิดกรณี Click-Bait ผมสรุปกระบวนการคร่าวๆ ไว้สำหรับคนที่อยากสร้างอะไรบางอย่างแต่กลัวกรณี Click-Bait
1. สร้างเนื้อหาที่เสริมหรือเพิ่มเติมจากการแปะลิ้งค์หรือวิดีโอ การแปะวิดีโอที่เป็นของคนอื่นอย่างเดียวอาจจะมองว่าเป็น Click-Bait ได้ (คือเอาลิ้งค์มาแปะ โฆษณาคั่นก็หากำไรได้แล้ว ??)
2. สาระของเนื้อหานั้นควรจะต้องมีความแตกต่างหรือมีเอกลักษณ์ การมีสาระสำคัญหรือโดนใจผู้บริโภคสื่อมากกว่าก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
3. การแปะโฆษณาคั่นไว้ควรทำเพียงอันเดียวและต้องมี 2 ข้อแรกที่ผ่านแล้วเท่านั้น การแปะโฆษณาเลยโดยที่ยังไม่มีเนื้อหาสาระอะไรจะยิ่งทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจแน่นอน
ทีนี้ในมุมมองของผู้บริโภคสื่อ ผมมองว่า การให้มีโฆษณาหรือการกดถูกใจเรียกให้กดไลท์นั้น ถ้าไม่เป็นการล่อลวงให้กดจริงๆ ผมว่าก็สามารถทำได้ และผมก็ไม่รังเกียจที่จะรอโฆษณา 5 วินาทีแต่อย่างใด ยังไงซะ คนที่อยากจะหารายได้อีกทางนึง ก็จะได้เกิดรายได้ขึ้นจริงจากที่เค้าตั้งใจไว้ จะไม่ให้เลยผมว่าจะเอาเปรียบกันเกินไปหน่อย
ผมให้กำลังใจกับคนที่ดำเนินบางอย่างเพื่อประโยชน์กับคนอื่น ซึ่งอาจจะมีเรื่องการโฆษณาบ้างแต่ถ้าทั้ง 3 ข้อยังผ่าน ผมก็ยอมรับได้อยู่ ผมมีคำสอนจากท่าน ว.วชิรเมธี ให้ครับ
ขอบคุณ : Youtube
"อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น